3 กรกฎาคม 2553

เปิดตัวโครงการสำมะโนประชากรและเคหะ พ.ศ.2553

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานเปิดการประชุมและเปิดตัวโครงการสำมะโนประชากรและเคหะ พ.ศ.2553 พร้อมมอบนโยบายแก่ผู้เข้าร่วมประชุม จัดโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ

วันนี้(2 ก.ย.53) เวลา 09.00 น. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานเปิดการประชุมและเปิดตัวโครงการสำมะโนประชากรและเคหะ พ.ศ.2553 พร้อมมอบนโยบายแก่ผู้เข้าร่วมประชุม จัดโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ โดยมีนายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ผู้ว่าราชการจังหวัด เจ้าหน้าที่และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนสื่อมวลชนเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก ณ โรงแรมรามา การ์เด้นส์ ถนนวิภาวดีรังสิต กรุงเทพมหานคร

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยี สารสนเทศและการสื่อสาร กล่าวรายงานวัตถุประสงค์การจัดโครงการสำมะโนประชากรและเคหะ พ.ศ.2553 ว่า เพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติสถาบันพระมหากษัตริย์ไทย และร่วมน้อมรำลึก 100 ปี วันสวรรคตพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นวาระแห่งชาติ โดยรัฐบาลให้ความสำคัญต่อการฉลองครบรอบร้อยปีของการทำสำมะโนประชากรในประเทศ ไทย จากการที่ได้มีการจัดทำครั้งแรกในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้า อยู่หัว รวมทั้งเพื่อให้นายกรัฐมนตรีมอบนโยบาย การบูรณาการความร่วมมือในการใช้ทรัพยากรและองค์ความรู้ของหน่วยงานภาครัฐใน ระดับประเทศ จังหวัด และระดับท้องถิ่น ในการจัดทำโครงการสำมะโนประชากรและเคหะ พ.ศ.2553 สร้างความเข้าใจกับผู้บริหาร และผู้ที่เกี่ยวข้องในส่วนกลาง ระดับจังหวัด และท้องถิ่น ซึ่งเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการกำหนดนโยบายการบริหารงานในระดับต่าง ๆ ให้เห็นถึงประโยชน์และคุณค่าของข้อมูลสถิติที่มีต่อการพัฒนาประเทศ อันจะนำไปสู่การให้ความร่วมมือสนับสนุน และกำกับดูแลคุณภาพการจัดทำสำมะโนประชากรและเคหะในครั้งนี้ นอกจากนี้ยังเป็นการเปิดตัวโครงการสำมะโนประชากรและเคหะ พ.ศ.2553 เพื่อจุดประกายและสร้างการรับรู้ข้อมูลของสังคมผ่านสื่อต่าง ๆ ตลอดจนเพื่อสร้างการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในการขับเคลื่อนและให้ข้อคิด เห็นที่เป็นประโยชน์ต่อการจัดทำโครงการสำมะโนประชากรและเคหะ พ.ศ.2553 รวมถึงรณรงค์ให้ประชาชนได้มีความรู้ ความเข้าใจ และเห็นประโยชน์ ของการทำสำมะโนประชากรและเคหะ พ.ศ.2553 และให้ความร่วมมือในการให้ข้อมูลที่เป็นจริง

โอกาสนี้ นายกรัฐมนตรี ได้กล่าวแสดงความยินดีได้มาเป็นประธานในพิธีเปิดการประชุมและเปิดโครงการสำ มะโนประชากรและเคหะ ปี 2553 ซึ่งสำนักงานสถิติแห่งชาติ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารจัดขึ้นเป็นครั้งที่ 11 และวาระครบ100 ปีของกิจการสำมะโนประชากรในประเทศไทยด้วย

นายก รัฐมนตรี กล่าวว่า การจัดทำสำมะโนประชากรและเคหะเป็นเรื่องที่มีความสำคัญและเป็นประโยชน์ต่อ ประเทศและประชาชนเป็นอย่างมาก โดยผลของการสำรวจจะถูกนำมาใช้เป็นข้อมูลที่เป็นฐานในการค่าประมาณจำนวน ประชากรในอนาคต เนื่องจากการพัฒนาที่ดีต้องมีฐานข้อมูลที่แม่นยำและครอบคลุมมากที่สุดเท่า ที่จะทำได้ ซึ่งการจัดทำสำมะโนประชากรฯ จะสามารถทำให้ภาครัฐมีข้อมูลเกี่ยวกับประชากรเพื่อใช้ในการกำหนดนโยบาย วางแผนทางด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม ทั้งในระดับประเทศ จังหวัด หรือระดับท้องถิ่น และยังเป็นข้อมูลที่มีคุณภาพในการที่จะจัดทำโครงสร้างพื้นฐานและบริการ สาธารณะ ที่จะเอื้ออำนวยประโยชน์สุขแก่ประชาชนได้อย่างถูกต้อง รวมทั้งในส่วนของภาคเอกชนยังจะสามารถใช้ข้อมูลสำมะโนประชากรในการตัดสินใจใน การลงทุนทำธุรกิจ การค้าหรือขยายกิจการได้ด้วย

นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการจำทำสำมะโนประชากรฯ แบบสมัยใหม่ของประเทศไทยว่า ได้เริ่มตั้งแต่รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ซึ่งขณะนั้นได้ดำเนินการ 17 มณฑลในเขตบริหาร เมื่อปี 2454 โดยขณะนั้นประเทศไทยมีประชากร 8,131,247 คน ส่วนการทำสำมะโนประชากรครั้งล่าสุด คือครั้งที่ 10 ในรัชกาลปัจจุบัน เมื่อปี 2543 มีประชากร 60,916,441 คน ดังนั้นการจัดทำสำมะโนประชากรฯ ครั้งนี้จึงถือเป็นการจัดทำในโอกาสที่ครบ100 ปี ของการทำสำมะโนประชากร ซึ่งนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณและพระปรีชาญาณของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า เจ้าอยู่หัว ที่ได้ทรงพระกรุณาริเริ่มการทำสำมะโนประชากรฯ ขึ้น ซึ่งเป็นคุณูปการอันยิ่งใหญ่แก่ประเทศและประชาชนตราบจนทุกวันนี้ และในรัชสมัยปัจจุบันพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลปัจจุบันก็สนพระราชหฤทัย และทรงตระหนักในความสำคัญของการจัดทำสำมะโนประชากรฯ เป็นอย่างยิ่ง โดยได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้เจ้าหน้าที่สำนักงานสถิติแห่งชาติ ได้เข้าเฝ้าฯ เพื่อกราบบังคมทูลสัมภาษณ์ในการจัดทำสถิติในการจัดทำสำมะโนประชากรฯ 2 ครั้งที่ผ่านมา คือเมื่อปี 2533 และ 2543 เพราะฉะนั้นการดำเนินโครงการสำมะโนประชากรฯ ในครั้งนี้นอกจากจะเป็นการทำสำมะโนประชากรฯ ตามวาระทุก 10 ปี แล้ว ยังจะเป็นโอกาสที่ประชาชนชาวไทยได้น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณและร่วมแรง ร่วมใจกันสืบสานงานสำมะโนประชากรให้บรรลุพระราชประสงค์ด้วย

นายก รัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลได้ตระหนักถึงความสำคัญในเรื่องข้อมูลที่มีความแม่นยำในการกำหนด นโยบาย ซึ่งขณะนี้ข้อมูลที่เกี่ยวกับประชากรจะมีความสำคัญมากยิ่งขึ้นในเรื่องของ การกำหนดนโยบาย เพื่อประเมินและวางแผนให้ถูกต้องแม่นยำ โดยจะเห็นได้ว่าปัจจุบันประชาชนทุกคนล้วนแต่คาดหวังในบริการสาธารณะที่ครอบ คลุมทั่วถึง รวมถึงสังคมไทยก็ได้ให้การยอมรับในเรื่องของสิทธิขั้นพื้นฐานและสวัสดิการ ของประชากรทุกคน ฉะนั้นแม้หน่วยงานต่าง ๆ จะมีการจัดทำสถิติตลอดเวลา เช่น กระทรวงทางด้านเศรษฐกิจ มีการจัดทำข้อมูลเกี่ยวกับการค้า ส่งออก การนำเข้า กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จัดทำสถิติทางด้านเกษตรกรรม เป็นต้น แต่การสำรวจในแต่ละครั้งโดยเฉพาะถ้าเป็นการทำเพื่อรองรับการปฏิบัติ ตามนโยบายในแต่ละโอกาสก็ยังมีปัญหาอยู่เสมอเกี่ยวกับข้อจำกัดในเรื่องของ เวลา เช่น เมื่อรัฐบาลทำโครงการประกันรายได้เกษตรกร โครงการในเรื่องของผู้สูงอายุ คนพิการ ฯลฯ ก็ต้องมีการจัดทำทะเบียนในเรื่องต่าง ๆ เหล่านั้น ซึ่งเมื่อมีการจัดทำสถิติหรือเก็บตัวเลขในลักษณะดังกล่าวก็ยังจะมีจุดอ่อน อยู่ในเรื่องของเวลา และนอกจากข้อจำกัดในเรื่องเวลาแล้วยังมีมีจุดอ่อนอยู่ 2 ประการ โดยประการแรกคือแรงจูงใจในเวลาที่มีการสอบถามข้อมูลอาจจะมีส่วนทำให้ข้อมูล มีการบิดเบือนได้ สองหลายนโยบายในปัจจุบันที่ต้องอาศัยการให้ประชาชนที่เกี่ยวข้องมาแสดงตัว หรือขึ้นทะเบียนนั้นยังมีข้อจำกัด เช่น กรณีของผู้สูงอายุ และคนพิการ ซึ่งอาจจะไม่ได้รับการอำนวยความสะดวกในการที่จะมาแสดงตนหรือมาขึ้นทะเบียน ส่งผลให้มีการเสียสิทธิไป เป็นต้น ดังนั้นสิ่งเหล่านี้จึงทำให้คิดว่าการจัดทำสำมะโนประชากรฯ จะเป็นฐานข้อมูลที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในการที่รัฐบาลจะสามารถนำไปใช้ในการ ประเมินวางแผนที่เกี่ยวข้องกับนโยบายได้

นายกรัฐมนตรี กล่าวเน้นย้ำเกี่ยวกับการทำสำมะโนประชากรว่า สิ่งที่ต้องการมากที่สุดคือความแม่นยำ ความถูกต้อง ซึ่งหากสามารถดำเนินการในกรอบเวลาที่กำหนดหรือสั้นกว่านั้นได้ก็เป็นเรื่อง ที่ดี แต่เมื่อทำแล้วก็อย่าให้มีผลกระทบต่อความแม่นยำและความถูกต้องของฐานข้อมูล ซึ่งจะถูกนำไปใช้อีกเป็นระยะเวลายาวนานถึง 10 ปี เพราะนั้นวันนี้จึงขอเน้นย้ำถึงความสำคัญของการจัดงานดังกล่าว รวมถึงขอความร่วมมือจากทุกฝ่ายในการช่วยกันทำงานนี้ให้เกิดประสิทธิภาพสูง สุด เนื่องจากการตัดสินใจในเชิงนโยบาย และการกำหนดยุทธศาสตร์ในการพัฒนาจะต้องมีพื้นฐานมาจากข้อมูลที่ดีและแม่นยำ ดังนั้นสิ่งนี้จึงถือว่ามีความสำคัญซึ่งไม่เพียงเฉพาะตัวเลขที่จะออกมาเท่า นั้น แต่ยังหมายถึงพื้นฐานของการตัดสินใจ การวางแผนและการกำหนดนโยบายที่จะนำไปสู่ในเรื่องของคุณภาพและบริการสาธารณะ ที่ประชาชนทุกคนพึงจะได้รับจากรัฐและหน่วยงานอื่น ๆ ด้วย

นายก รัฐมนตรี กล่าวขอบคุณผู้เข้าร่วมประชุมทุกคนที่ได้ตระหนักในความสำคัญของการจัดงาน ครั้งนี้และมาร่วมกันปฏิบัติงานเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดสำหรับประเทศไทย ที่จะได้ใช้ประโยชน์จากตรงนี้ต่อไปนานถึง10 ปี และส่งผลต่อการแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้อีกด้วย

จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้รับมอบพระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จ พระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ จากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ก่อนเดินทางกลับ

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

Related Posts Plugin for WordPress, Blogger...