โครงการถวายพระพรออนไลน์เฉลิมพระเกียรติ 84 พรรษา

เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๗ รอบของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนชาวไทยได้ลงนามถวายพระพรออนไลน์ผ่านทางเว็บไซต์ www.welovekingonline.com

ผลการคัดเลือกบุคคลเป็นลูกจ้างชั่วคราว

ผลการคัดเลือกบุคคลเป็นลูกจ้างชั่วคราวปฏิบัติงานโครงการสำมะโนธุรกิจและอุตสาหกรรม พ.ศ. 2555

โครงการสำมะโนธุรกิจและอุตสาหกรรม

สำนักงานสถิติแห่งชาติ ได้จัดทำสำมะโนธุรกิจทางการค้าและธุรกิจทางการบริการ และสำมะโน อุตสาหกรรมทุก 10 ปี ตามข้อเสนอแนะขององค์การสหประชาชาติ เพื่อให้ประเทศมีข้อมูลพื้นฐานที่สำคัญทางด้านธุรกิจทางการค้า ธุรกิจทางการบริการ และอุตสาหกรรมการผลิตมาอย่างต่อเนื่อง

31 สิงหาคม 2553

การประชุมชี้แจง สปค.53 ระดับเจ้าหน้าที่วิชาการ



สำนักงานสถิติจังหวัดสุรินทร์ จัดประชุมชี้แจงโครงการสำมะโนประชากรและเคหะ พ.ศ. 2553 ระดับเจ้าหน้าที่วิชาการ เมื่อวันที่ 20 -23 สิงหาคม 2553 ณ โรงแรมทองธารินทร์ พร้อมเปิดแถวขบวนรถประชาสัมพันธ์โครงการ สปค. 53 โดยมีท่านปลัดจังหวัดสุรินทร์ นายประสิทธิ์ บุญลิขิต เป็นประธานในพิธีเปิด การประชุมชี้แจงครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมประชุมชี้แจ้งจากแต่ละอำเภอซึ่งปฎิบัติหน้าที่เจ้าหน้าที่วิชาการ จำนวน 135 คน

ดูอับบั้มภาพกิจกรรมได้ที่
http://www.facebook.com/album.php?aid=26222&id=100001256521242&l=d3a82dd41f

21 สิงหาคม 2553

อัพเดทข้อมูลประชากร'สำมะโนคนไทย'แม่น-ชัด'พัฒนาชาติ'

"การทำสำมะโนแบบสมัยใหม่ของประเทศไทยนั้น ถือว่าเริ่มมาตั้งแต่สมัย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 โดยขณะนั้นดำเนินการใน 17 มณฑลและพบว่าในตอนนั้นประเทศไทยมีประชากรอยู่ทั้งสิ้น 8,131,247 คน"...นี่เป็นข้อมูลซึ่งย้อนอดีตราว 100 ปี


เป็นข้อมูลเกี่ยวกับ "สำมะโนประชากร"ที่กำลังจะมีการ "อัพเดท"อีกครั้งเร็ว ๆ นี้...จากเอกสารของสำนักงานสถิติแห่งชาติ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร การทำสำมะโน หรือสำมะโนประชากรของประเทศไทย ในรูปแบบสมัยใหม่นั้น เริ่มมีขึ้นในปี 2448 โดยในตอนนั้นเรียกว่า "บัญชีพลเมือง"เพื่อให้ทราบถึงจำนวนและรายละเอียด เช่น เพศ อายุ เชื้อชาติ ฯลฯ ของคนในราชอาณาจักร ซึ่งการดำเนินการครบถ้วนและมีรายงานอย่างเป็นทางการในปี 2453 หรือครบ 100 ปีในปี 2553 นี้


ทั้งนี้ ในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 พระองค์ท่านทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อเหล่าปวงไทย ทรงให้ความสำคัญกับงานสถิติซึ่งมีประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศ ซึ่งในการทำสำมะโนเกือบทุกครั้งที่ผ่านมา พระองค์ท่านได้พระราชทานพระบรมราชวโรกาสให้คณะผู้บริหารสำนักงานสถิติแห่ง ชาติเข้าเฝ้าฯ ถวายรายงาน และพระราชทานแนวพระราชดำริที่เป็นประโยชน์ยิ่งในการจัดทำสำมะโนประชากรและ เคหะ


นับแต่ครั้งแรกจนปัจจุบัน ประเทศไทยเคยมีการจัดทำสำมะโนประชากรแล้ว 10 ครั้ง โดยทำทุก ๆ 10 ปี ซึ่งการจัดทำครั้งที่ 1-5 ดำเนินการโดยกระทรวงมหาดไทย และตั้งแต่ครั้งที่ 6 เรื่อยมา ดำเนินการโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ รวมถึงกับครั้งที่ 11 ซึ่งตรงกับวาระ ครบรอบ 100 ปี สำมะโนประชากรประเทศไทยโดยจะมีการเก็บข้อมูลระหว่างวันที่ 1-30 ก.ย. 2553 อันจะเป็นการทำให้ทราบรายละเอียดประชากรไทยที่ยุคนี้มีกว่า 67 ล้านคน ทั้งในเรื่องจำนวนที่แน่ชัด เพศ อายุ การศึกษา อาชีพ ความเป็นอยู่ในด้านต่าง ๆ


ข้อมูลจำนวนและโครงสร้างของประชากรในแต่ละ พื้นที่ที่อาศัยอยู่จริง นับเป็นฐานรากที่สำคัญที่ทุกหน่วยงาน ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน จำเป็นต้องใช้ ไม่ว่าจะเพื่อการจัดทำนโยบาย จัดหาบริการ จัดสวัสดิการสังคม จัดโครงสร้างพื้นฐานต่าง ๆ รองรับให้เหมาะสม นอกจากนี้ ข้อมูลนี้ยังสามารถใช้คาดการณ์ประชากรในอนาคต ใช้เป็นกรอบการเลือกตัวอย่างในการสำรวจต่าง ๆ ดังนั้น "ความร่วมมือของประชาชน" ในการให้ข้อมูลการทำสำมะโนประชากรจึงมีความสำคัญมาก!!


จีราวรรณ บุญเพิ่ม ผู้อำนวยการสำนักงานสถิติแห่งชาติบอกว่า... จากการเก็บข้อมูลที่ผ่านมาพบว่าฐานข้อมูลประชาชนมีการเปลี่ยนแปลงไปค่อนข้าง มาก การเพิ่มของจำนวนประชากรในการเก็บข้อมูลครั้งที่ผ่านมาลดลงไปอย่างมาก ซึ่งในการเก็บข้อมูลครั้งใหม่นี้ก็เชื่อว่าฐานข้อมูลประชากรจะเปลี่ยนแปลงไป อีก ประชากรของไทยเข้าสู่วัยสูงอายุมากขึ้น วันนี้ทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐและเอกชนต้องเตรียมเรื่องการวางแผนประชากร


"ถ้ามีข้อมูลที่ชัดเจนว่าประชากรสูงอายุ เพิ่มขึ้น ในขณะที่แรงงานมีจำนวนน้อยลง รัฐบาลจะรับมืออย่างไร จะมีการเปลี่ยนทัศนคติของคนหนุ่มสาวให้มีบุตรมากขึ้นเหมือนในสิงคโปร์หรือ เปล่า สิ่งเหล่านี้ต้องวางนโยบายล่วงหน้า เพราะทุกอย่างต้องใช้เวลา" ...ผอ.สำนักงานสถิติฯ ระบุ พร้อมบอกด้วยว่า... ที่ผ่านมาการทำสำมะโนประชากรจะทำทุก 10 ปี แต่เนื่องจากปัจจุบันโลกเปลี่ยนเร็ว นายกรัฐมนตรีจึงให้นโยบายให้ลองพิจารณาว่าในอนาคตจะทำทุก 5 ปีได้หรือไม่ ซึ่งก็ต้องมีการศึกษารูปแบบการทำที่สอดคล้องกับสถานการณ์


ด้าน จุติ ไกรฤกษ์ รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร บอกว่า... ข้อมูลเชิงสถิติของประชากรนั้นเป็นเครื่องมือสำคัญในการวางแผน กำหนดยุทธศาสตร์ จัดสรรทรัพยากรที่มีอย่างจำกัดให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งในการสำรวจสำมะโนประชากรครั้งใหม่ก็จะทำให้ได้ฐานข้อมูลที่สำคัญมา ดำเนินการในด้านต่าง ๆ


ทั้งนี้ กับการทำสำรวจสำมะโนประชากรครั้งใหม่นี้ นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ระบุไว้ในการประชุมเรื่อง "100 ปี สำมะโนประชากรประเทศไทย เทิดไท้องค์ราชัน"เมื่อต้นเดือนก.ค. ที่ผ่านมา โดยบางช่วงบางตอนคือ... ข้อมูลเกี่ยวกับประชากรที่แม่นยำ มีคุณภาพ มีความสำคัญต่อการกำหนดนโยบายที่ดี ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม โครงสร้างพื้นฐาน บริการสาธารณะทั้งในระดับประเทศ ระดับจังหวัด ระดับท้องถิ่น ขณะที่ภาคเอกชนก็สามารถใช้เป็นข้อมูลในการตัดสินใจทางธุรกิจ การค้า การบริการ ได้อย่างแม่นยำ


"การจัดทำสำมะโนประชากร จะเป็นฐานข้อมูลที่มีความสำคัญอย่างยิ่งในการบริหารงานของรัฐบาล ไม่ใช่เพียงเฉพาะตัวเลขที่จะออกมาในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า แต่นี่หมายถึงพื้นฐานของการตัดสินใจ วางแผน กำหนดนโยบาย ซึ่งนำไปสู่คุณภาพของบริการสาธารณะที่ประชาชนทุกคนควรจะได้รับจากรัฐบาล จึงอยากขอความร่วมมือจากทุกฝ่ายในการที่จะช่วยกันทำงานนี้ให้เกิด ประสิทธิภาพสูงสุด"...นายกรัฐมนตรีระบุไว้ 100 ปี ทำสำมะโนประชากร คนไทยก็ควรร่วมมือให้ข้อมูลมิใช่เพื่อรัฐบาล แต่เพื่อให้รัฐบาลทำงานให้คนไทยให้ดี

ที่มา : “อัพเดทข้อมูลประชากร'สำมะโนคนไทย'แม่น-ชัด'พัฒนาชาติ'.” ในคอลัมน์: สกู๊ปหน้า 1. เดลินิวส์ 15 กรกฎาคม 2553.

100 ปี สำมะโนประชากรเตือนฝัน(ร้าย)ที่เป็นจริงยุคผู้สูงอายุกำลังจะมา

ใครๆ มักเข้าใจว่า “การทำสำมะโนใประชากร”ก็เหมือนการทำ “ทะเบียนบ้าน”เป็นหลักฐานอ้างอิงว่า คนคนหนึ่งมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้ และเป็นสมาชิกของท้องถิ่นหนึ่งๆ แต่ในความเป็นจริง การสำมะโนประชากรนั้นแตกต่างจากการทำทะเบียนราษฎรค่อนข้างมาก
          ว่ากันตามตัวอักษร พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิต พ.ศ.2542 ให้คำจำกัดความของคำว่า “ทะเบียนบ้าน”ว่าทะเบียนบ้านน. ทะเบียนประจำบ้านแต่ละบ้านซึ่งแสดงเลขประจำบ้านและรายการของคนทั้งหมดผู้ อยู่ในบ้าน
          ส่วน สำมะโนประชากรน. การเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับจำนวนและลักษณะต่างๆของราษฎรทุกคนในทุกครัว เรือน ในระยะเวลาใดเวลาหนึ่งเพื่อใช้ประโยชน์ในทางสถิติ
          เทียบกันง่ายๆ สิ่งที่ปรากฏอยู่ในทะเบียนบ้าน บอกเพียงรายชื่อบุคคลที่ลงทะเบียนแจ้งว่าเป็นสมาชิกในบ้านนั้นเรือนนั้น แจ้งสถานะภายในบ้าน และจะมีการอัพเดตข้อมูลก็ในกรณีที่มีการเกิด-ตาย ย้ายเข้า-ย้ายออก
          นั่นหมายความว่า สมาชิกที่แจ้งชื่ออยู่ในทะเบียนบ้านหลังหนึ่งนั้น อาจจะไปทำงานอยู่ต่างอำเภอต่างจังหวัดหรือต่างประเทศก็เป็นได้
          ขณะที่การสำรวจสำมะโนประชากรนั้นจะมีการ สำรวจทุก 10 ปีเพื่อ อัพเดตข้อมูลว่าณ เวลาหนึ่ง ณ พื้นที่ที่อยู่หรือเพิงพักอาศัยตรงนั้นมีประชากรเท่าไร เป็นชายหรือหญิงอายุกี่ปี และลึกลงไปในรายละเอียดว่า คนเหล่านั้นมีอาชีพอะไร
          ซึ่ง รายละเอียดของตัวเลขที่ได้จากการสำมะโนประชากรนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะต่อการวางแผนในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในสังคมนั้นๆ
          จีราวรรณ บุญเพิ่มผู้อำนวยการสำนักงานสถิติแห่งชาติ กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร อธิบายถึงความสำคัญของการทำสำมะโนประชากรว่า การทำสำมะโนประชากรเป็นงานมาตรฐานระดับโลก มี 230 ประเทศที่มีการทำสำมะโนประชากร โดยรายละเอียดคำถามต่างๆ จะมาจากทางสหประชาชาติ ซึ่งมีตัวแทนจากประเทศต่างๆ เข้าไปร่วมปรึกษาดำเนินการจัดทำคู่มือเพื่อใช้อ้างอิงในการสำรวจสำมะโน ประชากร โดยในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีประเทศไทยและฟิลิปปินส์เข้าไปเป็นตัว แทนในการจัดทำ
          สถิติที่ได้จากการสำมะโนประชากรในแต่ละประเทศเมื่อนำมารวมกันก็จะได้เป็นประชากรโลกจริงๆ ของเรา
          “ที่ผ่านมา ประเทศไทยกำหนดให้วันที่ 1 เมษายน เป็น ‘วันสำมะโน’เพราะการทำสำมะโนสมัยก่อนเราใช้ครู จึงต้องเลือกวันที่ปิดเทอม แต่ตอนนี้ครูมีภารกิจมาก จึงเปลี่ยนมาใช้อาสาสมัครในพื้นที่ ประกอบกับเดือนเมษายนนั้นเป็นเดือนที่มีวันหยุดค่อนข้างมาก คนไม่ค่อยอยู่บ้าน ขณะที่การทำสำมะโนนั้นวันที่ใช้ในการอ้างอิงน่าจะเป็นวันที่ค่อนข้างนิ่งคือ ประชากรเคลื่อนไหวน้อยที่สุด ปีนี้จึงกำหนดวันสำมะโนเป็น วันที่ 1 กันยายน”
          วัตถุประสงค์เพื่อให้รู้ว่า ณ วันนั้นมีประชากรกี่คน เป็นหญิงเป็นชาย เป็นเด็กเป็นผู้ใหญ่ อายุเท่าไร แต่งงานหรือยังทำงานอะไร ล้วนเป็นคำถามเกี่ยวกับเรื่องประชากร โดยไม่พาดพิงไปถึงเรื่องของรายได้แต่อย่างใด
          ที่สำคัญคือ ข้อมูลที่ได้จากการสำรวจสำมะโนก็จะไม่มีการเปิดเผยว่าได้จากนายคนนี้ หรือนางสาวคนนั้น ฉะนั้นจึงไม่ต้องกลัวว่าจะมีการนำเรื่องส่วนตัวไปเปิดเผยต่อยังที่อื่น
          เหตุที่ต้องมีการกำหนดวันสำมะโน ผอ.จีราวรรณบอกว่าเพราะคนเคลื่อนไหวตลอดเวลาทำให้คุณลักษณะของประชากรเปลี่ยนไปด้วย
          ตัวอย่างเช่น ถ้าดูตามทะเบียนราษฎรจะเห็นว่า ภาคอีสานมีประชากรอยู่เป็นจำนวนมาก แต่ถ้าดูสำมะโนประชากรจะรู้เลยว่า คนอีสานกระจายไปอยู่ที่อื่นมากมายซึ่งเมื่อทราบตัวเลขที่ชัดเจนแล้วจะทำให้ ภาครัฐสามารถกำหนดยุทธศาสตร์ จัดเตรียมสาธารณูปโภคพื้นฐานให้แก่ประชาชนได้อย่างทั่วถึงและเพียงพอ
          ขณะเดียวกัน ภาคเอกชนก็สามารถใช้ข้อมูลพื้นฐานตรงนี้เพื่อวางแผนในภาคธุรกิจ เช่นใช้ในการประเมินทำเลของการเปิดร้านสะดวกซื้อ ซึ่งตัวเลขจากการสำมะโนจะทำให้รู้ว่าบนพื้นที่นั้นมีคนหนาแน่นเพียงใด มีกลุ่มคนระดับไหน
          ผอ.จีราวรรณบอกอีกว่า การทำสำมะโนประชากรปีนี้ถือเป็นงานใหญ่ โดย ในวันสำมะโน คือวันที่ 1 กันยายน2553 จะมีการส่งคนลงพื้นที่ทั้งหมดเกือบ 7 หมื่นคน ใช้เวลาปฏิบัติงาน 1 เดือน
          “งานสำมะโนประชากรเป็นงานใหญ่ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงริเริ่มเมื่อ 100 ปีที่แล้วศ.ปราโมทย์ ประสาทกุล ซึ่งค้นข้อมูลตรงนี้พบเรื่องที่น่าสนใจหลายเรื่องเกี่ยวกับเหตุการณ์เมื่อ 100 ปีก่อนตัวอย่างเช่น
          “ในหลวงรัชกาลที่ 5 ทรงเรียกประชุมเสนาบดีตอน 3 ทุ่ม พระองค์ทรงเป็นประธานประทับที่หัวโต๊ะ รับสั่งว่า เป็นสิ่งจำเป็นที่จะต้องรู้เรื่องไพร่พลทั้งหลายในประเทศว่ามีเท่าไหร่ และรับสั่งให้ไปดำเนินการ เราจึงทราบว่าครั้งนั้นมีประชากร (ในสยามประเทศ) 8 ล้านคน ปัจจุบันตัวเลขคาดว่าจะอยู่ที่ประมาณ 65-67 ล้านคน
          “การทำสำมะโนเมื่อ 100 ปีก่อนแสดงให้เห็นถึงพระอัจฉริยภาพของพระองค์ ปีนี้จึงถือเป็นโอกาสอันดีที่ทุกคนจะได้มีส่วนร่วมในงานครบรอบ 100 ปี การสำมะโนประชากร ซึ่งเราเรียกโครงการนี้ว่า “ร้อยปีสำมะโนประชากรไทย เทิดไท้องค์ราชันย์”
          ผอ.จีราวรรณยังบอกอีกว่า ในหลวงรัชกาลปัจจุบันก็ทรงสนพระทัยการทำสำมะโน เมื่อ 2 ครั้งที่แล้ว ปี 2533 กับปี 2543 โปรดฯให้เข้าเฝ้าฯถวายการรายงานและถวายการสัมภาษณ์
          “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงถือว่าทรงเป็นประชากรไทยคนหนึ่ง ปี 2543 พระราชทานสัมภาษณ์แก่คณะผู้บริหาร ซึ่งปีนั้นดิฉันได้มีโอกาสได้เข้าเฝ้าฯด้วย นอกจากโปรดฯให้เราถวายคำถามแล้ว ทรงมีพระราชดำริต่างๆ เกือบ 2 ชั่วโมง”
          ยกตัวอย่าง อย่างใน ปี 2533 ทางคณะกราบทูลถามว่า ในวังใช้เชื้อเพลิงหลักๆ ในครอบครัวคืออะไร พระองค์บอก “ใช้ไฟฟ้า” น้ำดื่มที่ใช้ในครัวเรือนนี้ปกติท่านดื่มจากที่ไหน น้ำบ่อ ประปา น้ำขวด พระองค์ตรัสว่า”น้ำขวด”พอพระราชทานสัมภาษณ์เสร็จ ท่านทรงมีดำริว่า ในวังนี้จะมีราชองครักษ์มาเยอะพระราชทานเลี้ยงอาหาร แต่มาแล้วก็กลับไปอย่างนี้นับว่าเป็นสมาชิกในครัวเรือนของพระองค์หรือเปล่า ฟังแล้วก็รู้ว่าพระองค์ทรงชี้แนะมาแล้วว่า นิยามต้องชัดเจน เพราะราชองครักษ์มาอยู่ที่นี่ ไม่ใช่สมาชิกในครัวเรือนนี้เราก็ต้องมากำหนดคำจำกัดความใหม่
          “ส่วนเมื่อปี 2543 ทรงเล่าว่า พระองค์สนพระทัยในงานสถิติมาก อย่างเวลาฝนตกก็จะโปรดฯให้นำกระป๋องมาตั้งๆๆ แล้วเอามาวัดปริมาณ แล้วก็เฉลี่ยก็ได้ปริมาณน้ำฝน รวมทั้งเวลาที่เสด็จฯทรงเยี่ยมพสกนิกรจะทรงใช้แผนที่ ซึ่งปีนี้ทางสำนักสถิติก็จะมีการถวายแบบสอบถามเข้าไปในวังเช่นเคย”

          “อยากให้ทุกคนเห็นความสำคัญของการทำสำมะโนประชากร และยอมสละเวลาเพียงแค่คนละ 10-15 นาทีต่อการให้สัมภาษณ์เพื่อว่าเราจะได้ตัวเลขมาใช้ในการวางแผนเพื่อการพัฒนา ประเทศ ถ้าใครไม่สะดวกที่จะให้สัมภาษณ์โดยตรง สามารถที่จะโทร.เข้าไปตอบแบบสอบถามได้ที่ สายด่วน 1111 หรือผ่านทางอินเตอร์เน็ต เว็บไซต์ www.nso.go.th เพื่อประเทศเราจะได้มีฐานข้อมูลดีๆ ไว้ใช้”
          ในการณ์นี้นอกจากการถามเกี่ยวกับเรื่องประชากร ผอ.จีราวรรณบอกว่า ยังมีการจัดทำเกี่ยวกับจำนวนที่อยู่อาศัยในประเทศไทยด้วยเพื่อให้ได้เป็น “การสำมะโนประชากรและเคหะ”เป็นการนับจำนวนและแจกแจงรายละเอียดของคนและที่ อยู่อาศัย ณ ที่ที่เราพบจริงๆ ในวันสำมะโน
          ด้วยเหตุนี้ในทุกสิ่งปลูกสร้าง รวมทั้งตามเพิงใต้สะพาน จะต้องเข้าไปตรวจดูว่ามีคนอยู่หรือไม่ เพราะถ้ามี ถือว่าเป็น”ที่อาศัย”ก็ต้องนับว่ามีคนอยู่จำนวนเท่าไร และคนที่อยู่นั่นเป็นใคร
          “สิ่งที่ท้าทายคือ เรามีปัญหาเรื่องแรงงานข้ามชาติมาก ทำอย่างไรจึงจะได้ตัวเลขที่ถูกต้องได้รายละเอียดที่ชัดเจน เราต้องพยายามหาทางทำเครือข่าย ทำการประชาสัมพันธ์ให้เห็นถึงประโยชน์ของการให้ความร่วมมือตรงนี้”
          อีกกรณีตัวอย่างที่ผลจากการสำมะโนประชากรช่วยชี้ทิศทางในอนาคตของประเทศ อย่างชัดเจน คือความกังวลที่ ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่ “สังคมผู้สูงอายุ”ซึ่งจากสถิติของประชากรผู้สูงอายุในปี 2546 อยู่ที่11% นั่นหมายความว่า คน 10 คนเดินมามีคนสูงอายุ 1 คน
          และคาดว่า ปี 2563 หรืออีก 10 ปีข้างหน้าประชากร 1 ใน 4 ของประเทศ (ประมาณ17-18%) จะเป็นผู้สูงอายุซึ่งไม่ว่าจะในแง่ของธุรกิจ หรือภาครัฐจะต้องมีแผนชัดเจนที่จะมารองรับ เพราะในขณะที่ผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้นจำเป็นต้องมีเงินสำรองสำหรับให้ความ ดูแล โดยเฉพาะในส่วนของค่ารักษาพยาบาล
          “วันนี้คนที่รับภาระคือคนวัยทำงาน อายุ15-60 ปี ซึ่งในอนาคตคนกลุ่มนี้จะกลายเป็นคนแก่ ขณะที่เด็กเกิดน้อยลง เพราะคนรุ่นใหม่ไม่อยากมีภาระ ไม่อยากแต่งงาน หรือ แต่งงานแล้วก็ไม่อยากมีลูก เมื่อนั้นจะเกิดปัญหาตามมาอีกมากมาย หนึ่งในนั้นคือ ปัญหาเรื่องแรงงาน ฉะนั้น ต้องจัดการเรื่องแรงงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นมาก เพื่อที่ว่าจะได้งานที่มากขึ้นด้วยจำนวนแรงงานที่น้อยลง”
          ผอ.สำนักสถิติย้ำว่า ปัญหาที่เกิดจากยุคผู้สูงอายุกำลังเกิดขึ้นแล้วกับหลายๆ ประเทศที่มีทัศนคติเรื่องการแต่งงาน การมีบุตรลดลง เช่นสิงคโปร์ ญี่ปุ่น รวมทั้งประเทศในแถบสแกนดิเนเวีย ฉะนั้น เพื่อที่จะแก้ไขปัญหาเสียแต่เนิ่นๆประเทศไทยต้องเริ่มวางแผนการจัดการแล้ว ต้องเร่งรัดการวางแผนกำลังคนของประเทศให้ดีซึ่งเราจะได้เห็นภาพที่ชัดเจน ขึ้นหลังจากการทำสำมะโนประชากรครั้งใหม่นี้แล้วเสร็จลง ซึ่งผลจะปรากฏให้เห็นราวปลายปีนี้
          สภาพัฒน์ต้องลุกขึ้นมาวางแผนประชากรให้ดี เพราะเป็นเรื่องของโครงสร้างของประเทศซึ่งระยะเวลา 10 ปีนั้นไม่นานเลย–จบ–
 
          ที่มา: หนังสือพิมพ์มติชน

มาดี มาทำสำมะโนประชากร ตอน: ชูใจเสียรู้

1-30 กันยายน นี้ มาดี มาทำสำมะโนประชากร

Related Posts Plugin for WordPress, Blogger...